การวิเคราะห์หลักทรัพย์

การวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ผมจะขอพูดถึงในที่นี้ หมายถึงการวิเคราะห์หุ้นหรือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยทุกวันนี้การลงทุนในหลักทรัพย์โดยเฉพาะหุ้นสามัญ ซึ่งได้รับความนิยม ตลอดจนเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่สำคัญของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย และขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งที่ทำให้เสียทรัพย์ได้เช่นกัน  อาทิ ในกรณีการขาดทุนของนักลงทุนเก็งกำไร(Speculator)  หรือแม้แต่การประเมินมูลค่าผิดพลาดของนักลงทุนเน้นคุณค่า(Value Investment)  เป็นต้น

เนื่องจากมูลค่าของราคาหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นในปัจจุบัน จะวิ่งเข้าหาสู่ราคามูลค่าที่แท้จริง(Intrinsic value)เสมอ  ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดอาชีพนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “Analyst”  โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เหล่านั้นจะความรู้ความสามารถในวิชาทางการเงิน ตลอดจนการตั้งสมมติฐานต่างๆ รวมไปถึงสถานการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในการวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง หรือราคาหุ้นที่ควรจะเป็น หรือที่รู้จักกันดีในคำว่า “Target Price” นั้นเองครับ

 

สำหรับวิธีการวิเคราะห์หุ้นนั้น โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ

1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค(Technical) 

คือการวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อหาจุดที่ควรจะซื้อ หรือจุดที่ควรจะขายหุ้น โดยมีสมมติฐานดังนี้

–       ราคาตลาดของหลักทรัพย์ได้สะท้อนให้ทราบถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งอุปสงค์และอุปทานของตลาด

–       เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาจจะกลับมาเกิดใหม่ได้

–       การเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์มีลักษณะเป็นแนวโน้ม และมีความต่อเนื่อง

–       Up trend  แนวโน้มขาขึ้น

–       Down trend แนวโน้มขาลง

–       Side Way   เป็นแนวโน้มทรงตัว ไม่แสดงแนวโน้มใดๆชัดเจน

 

ซึ่งการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค หรือ Technical  เป็นการวิเคราะห์แนวโน้ม รวมไปถึงการใช้เครื่องมือตัวชี้วัด (Indicator)  ต่างๆ เช่น MACD ,RSI และ Moving Average  เพื่อวิเคราะห์หาจุดหรือระดับที่ควรจะซื้อหรือขายหุ้นนั้นๆ  โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรระยะสั้นจะนิยมใช้วิธีนี้ เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องการเหตุผลที่ซับซ้อน และประหยัดเวลากว่าวิธีปัจจัยพื้นฐานมาก

 

2. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental)

                คือการวิเคราะห์ถึงมูลค่าที่แท้จริงโดยการวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ตั้งแต่ปัจจัยภายนอก จนถึงปัจจัยภายใน เพื่อวิเคราะห์ถึงผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและประเมินเป็นมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็น โดยแบ่งการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ดังนี้

การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก

– การวิเคราะห์เศรษฐกิจและตัวแปรมหาภาค คือการวิเคราะห์ถึงสภาวะเศรษฐกิจของโลก และของประเทศเรา รวมไปถึงนโยบายทางการเงิน และนโยบายทางการคลัง

– การวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรม เป็นการวิเคราะห์ถึงสภาวะการแข่งขัน และสภาพตลาดของธุรกิจนั้นๆ ว่า มีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างไร ธุรกิจนั้นอยู่ในช่วงวงจรธุรกิจไหน (ขั้นบุกเบิก > เจริญเติบโต > อิ่มตัว > หดตัว > ถดถอย)  เป็นต้น

 

การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน

                เป็นการวิเคราะห์ถึงตัวบริษัทนั้นๆโดยตรง ดังนี้

– การวิเคราะห์เชิงปริมาณ  คือการวิเคราะห์ถึงตัวเลขทางบัญชีของบริษัท เช่นกำไร ยอดขาย อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร หรืออัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้เป็นต้น

– การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ  คือการวิเคราะห์ถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัท บริษัทเป็นผู้นำตลาดหรือผู้มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้นๆหรือไม่ บริษัทมีคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบธุรกิจอย่างไร หรือแม้แต่แผนการตลาดที่จะดำเนินงานในอนาคต เป็นต้น

 

 

ดังนั้น การวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์หรือราคาหุ้น โดยทั่วไปจะมีหลักเกณฑ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐาน ซึ่งในความจริงแล้ว การวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์นั้น จะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ รวมไปถึงการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การสร้างแบบจำลอง(Model) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ราคาก็เป็นได้ ทั้งนี้ตามแต่ทักษะและความชำนาญของแต่ละบุคคลครับ  (แต่ให้ระวังการสร้างราคาของผู้ที่มีส่วนได้เสียด้วยนะครับ เพราะปัจจุบันข่าวสารมีการบิดเบือนอยู่มากมาย ^^)  โชคดีทุกคนครับ

 

Challenge Me Tutor

About: arjanfield_adm