ฉลาดเลือก ฉลาดใช้ รู้เท่าทันดอกเบี้ย
ฉลาดเลือก ฉลาดใช้ รู้เท่าทันดอกเบี้ย
จะว่าไปแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “ดอกเบี้ย” เพราะคำๆนี้มันอยู่ในสังคมไทยมาช้านานแล้ว และก็แซงซึมอยู่ทุกย่อมหญ้าทางการเงิน โดยที่ท่านผู้อ่านหลายๆคน คงเคยมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะทางตรง(เป็นผู้ใช้เอง) หรือทางอ้อม(บุคคลใกล้ตัวใช้)กับดอกเบี้ยที่ว่านี้ ในเรื่องนี้ผมจะกล่าวและเล่าถึงนั้น ผมจะเล่าใน 2 ด้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วน้อยคนนักที่จะนำเสนอในมุมมองหลายๆด้าน ส่วนใหญ่จะนำเสนอแค่เราเป็นผู้ใช้ และเกิดอะไรขึ้นบ้างที่เป็นผลกระทบกับเรา หารู้ไม่ว่าคำว่า “ดอกเบี้ย”นั้นมีหลายมิติ และมีหลายรูปแบบซึ่งเราคงได้ยินแค่ดอกเบี้ยบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลเท่านั้น แต่เคยรู้บ้างมั้ยว่า “ดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเงินเงินกู้เองก็มีความสัมพันธ์กัน” มีเพียงแค่ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตเท่านั้นที่ใจแข็ง คิดเท่าไหร่ก็เท่านั้น(ส่วนใหญ่เฉลี่ยประมาณ 15 -18%ต่อปี) และต้องบวกกับค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอีก ประมาณ 5% ซึ่งในกรณีปกติของดอกเบี้ยบัตรเครดิต คุณจะเสียดอกเบี้ยที่ประมาณ 20 -23% และในกรณีผิดนัดชำระหนี้คือการไม่จ่ายเงินในรอบนั้นหรือจ่ายน้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำที่กำหนด ทางธนาคารจะคิดดอกเบี้ยอัตราสูงสุดที่ประมาณ 28% (ตามที่กฎหมายกำหนดให้สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล คิดดอกเบี้ยแก่ลูกค้าสูงสุดไม่เกิน 28% ต่อปี)
ในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงบัตรเครดิตก่อนนะครับ
ต่อไปนี้คือสิ่งที่คนหลายๆคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตครับ นั้นคือ “การเข้าใจผิดว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตคิดจากยอดเงินที่เหลือค้างชำระ” ถือว่าเป็นเรื่องที่สร้างความปั่นป่วนในการวางแผนทางการเงินของสังคมไทยในปัจจุบันที่เดียว …. ซึ่งเดิมทีผู้เขียนก็หลงเข้าใจผิดเช่นกัน …. แล้ววิธีที่ถูกต้องนั้นละ^^! คือวิธีใด
วิธีการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ถูกต้องนั้นและเพื่อความเข้าใจง่ายๆ จะสมสมติเป็นตัวอย่างให้นะครับ
สมมติว่า สรุปยอดทุกวันที่ 7 และกำหนดชำระทุกวันที่ 22 เป็นต้น
ถ้าในวันที่ 1 มค. เรารูดไป 10,000 บาท และยอดที่ปรากฏใน statement จะโชว์ให้ชำระขั้นต่ำ 1,000 บาท(ขั้นต่ำ 10%) และยอดค้างทั้งหมดคือ 10,000 บาท
กรณีแรก ชำระทั้งหมดภายในวันที่ 22 มค. 10,000บาท
– ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยใดๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ ^^
กรณีที่สอง ชำระขั้นต่ำในวันที่ 22 มค. 1,000 บาท มียอดคงเหลือ 8,000 บาท
– จะโดนคิดดอกเบี้ยแยกเป็น 2 ก้อน
– ก้อนแรกจะเป็นดอกเบี้ยตั้งแต่วันรูดซื้อสินค้า จนถึงวันที่ชำระเงินบางส่วน(กรณีนี้แค่ขั้นต่ำ) วันที่ 1 มค – 22มค.
{10,000 *[15%(ดอกเบี้ย)+5%(ค่าธรรมเนียมใช้บัตร) ]*22/365วัน} = 120.55 บาท
– ก้อนที่สอง จะเริ่มคิดดอกเบี้ยหลังวันชำระเงินจนถึงวันวันตัดบัญชีในรอบหน้า(เดือน กพ.) วันที่22 มค – 7 กพ.
8,000 *[15%(ดอกเบี้ย)+5%(ค่าธรรมเนียมใช้บัตร) ]*16/365วัน} = 70.14 บาท
ฉะนั้นเมื่อถึงวันที่ 22 กพ จะโชว์ยอดค้างที่ 8,000 + ดอกเบี้ย(120.55+70.14) = 8,190.68 บาท
- แต่หากเราไม่ชำระเงินเลยติดต่อกัน 2 งวดขึ้นไปทางธนาคารเจ้าของบัตรมีสิทธิติดตามและทวงถามโดยจะมีค่าธรรมเนียมนี้ประมาณ 200 -300 บาทต่อครั้งในการติดตามทวงถาม(แต่ละธนาคารคิดไม่เท่ากันและเงื่อนไขต่างกันเล็กน้อย)
ท่านผู้อ่านเห็นหรือไม่ครับว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นจะคิดตั้งแต่วันที่เรารูดเงินซื้อสินค้า ซึ่งผมจะชี้ให้เห็นว่าทางธนาคารไม่ได้เอาเปรียบทุกท่าน แต่เงื่อนไขและลักษณะของบัตรเครดิตนั้นเป็นแบบว่าเรายืมเงินในบัตรไปซื้อสินค้าก่อน และมีผลประโยชน์ให้ลูกค้าในการเพิ่มความสามารถทางการเงินในการซื้อสินค้าและปลอดดอกเบี้ย(ในกรณีชำระเงินทั้งหมด) และโดย Common sense แล้ว ผู้ใช้วงเงินควรจะจ่ายดอกเบี้ยการยืมเงินจากบัตร แต่หากเราชำระเงินภายในระยะเวลากำหนดทั้งหมด เราจะได้รับยกเว้นในการจ่ายดอกเบี้ย ……… (ตามแบบกรณีตัวอย่างแรก)
เรามาพูดถึงในแง่ของธนาคารเกี่ยวบัตรเครดิตบ้างครับ แต่ไม่ขอลงลึกนะครับ เพราะต้องการให้ทราบเพียงคร่าวๆว่ารายได้ของธนาคารจากบัตรเครดิตมีมากมายหลายช่องทาง 1.ค่าดอกเบี้ย (จากที่กล่าวไว้ขั้นต้น) 2.ค่าธรรมเนียมการใช้บัตร(จากที่กล่าวไว้ในขั้นต้น) 3.ค่าธรรมเนียมการติดตั้งเครื่องรับรูดบัตรและการเช่าเครื่องรูดบัตร แต่ละธนาคารจะคิดในอัตราที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่จะคิดเป็นรายปี 4.ค่าธรรมเนียมการรับรูดสินค้า (ธนาคารคิดกับร้านค้าที่ติดตั้งรับรูดบัตรเครดิต) โดยส่วนใหญ่คิดที่ไม่เกิน ร้อยละ 2- 3% ของยอดเงิน ทั้งนี้เงื่อนไขและโปรโมชั่นของธนาคารต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 5.การร่วมโปรโมชั่นกับร้านค้าต่างๆ โดยทางธนาคารเจ้าของบัตรร่วมกับร้านค้าต่างๆในการยื่นข้อเสนอส่วนลด เช่นลดค่าอาหารหรือที่พัก 10% หรือใช้ธนาคารนี้ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ซึ่งทางร้านค้าจะเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดเป็นส่วนใหญ่ (ส่วนเท่าไหร่นั้นผมไม่ทราบครับ)
จะเห็นได้เลยครับว่าทางธนาคารเจ้าของบัตรเองนั้นก็ไม่ได้มีรายได้หลักจากผู้ใช้บัตรเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ควรอุดหนุนค่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตบ่อยๆนะครับ ^^!
กลยุทธ์ในการใช้บัตรเครดิต
วิธีการใช้บัตรเครดิตแบบชาญฉลาดนี้ เป็นเรื่องปกติที่เราสามารถหาช่องโหว่ หรือผลประโยชน์ของทางบัตรจากที่กล่าวมานั้นมีวิธีหลักๆในการใช้คือ
1. การใช้เท่าที่จำเป็น และชำระยอดทั้งหมดในรอบบิลนั้นๆ
ตามที่บอกเลยครับ ว่าการใช้บัตรเครดิตที่ดีนั้น เราสามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวกในการซื้อสินค้าและไม่ต้องพกเงินสดติดตัวมากมาย โดยจะแนะนำให้รูดใช้สินค้าเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ถึงเวลาเราจะได้มีเงินเพียงพอ ซึ่งผู้อ่านหลายๆท่านอาจหระสบปัญหาว่า “ทำอย่างไรดีละ ถึงจะมีเงินชำระบัตรเครดิตภายในวันครบกำหนดเต็มจำนวน และสม่ำเสมอ” ผมแนะนำว่า “ให้คิดว่าการใช้บัตรเครดิตเหมือนกับการใช้เงินสด” โดยวิธีคือหากเรารูดซื้อสินค้าไป 1,000 บาท เราก็ดึงเงินในกระเป๋าออก 1,000 บาท ที่ทำแบบนี้เพียงเพราะให้เป็นแบบระบบคล้ายๆ Mark to market ของทฤษฎีทางการเงิน ว่าด้วยการปรับราคาสินทรัพย์ให้เป็นปัจจุบัน แต่เราประยุกต์มาปรับเงินในกระเป๋าเราแทน ^^ ซึ่งผลดีของเรื่องนี้คือนอกจากเรามีเงินพอจ่ายแล้ว เรายังได้เรื่องของการสะสมแต้มไว้หาผลประโยชน์ในอนาคตได้ด้วยครับ
2. การซื้อของดอกเบี้ย 0%
ดอกเบี้ย 0% เป็นกลเม็ดทางการตลาดที่นิยมกันมากในสังคมของบัตรเครดิตที่กระจายตัวยิ่งกว่าสัญญาณ 3G และโดนใจผู้ใช้บัตรเครดิตแทบทุกท่าน แต่ก็มีหลายคนไม่น้อยที่สุดท้าย จัดระบบการจ่ายเงินไม่ดี จนต้องมาเสียดอกเบี้ยจนได้ และก็เป็นปัญหาทางการเงินตามมา สำหรับวิธีการจัดการกับเรื่องนี้ เราต้องมองไปถึงปัญหาต้นเหตุว่า ทำไมถึงต้องเสียดอกเบี้ย .. คำตอบคือ “ไม่มีตัง” เป็นคำตอบคลาสสิกมากๆครับ เพราะหลายๆท่านซื้อสินค้าดอกเบี้ยผ่อน 0% เพราะเงินไม่พอจะซื้อเป็นจำนวนเต็มทั้งหมด และสินค้าประเภทนี้ส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง โดยที่ผู้ใช้บัตรที่ไม่วางแผนให้ดีซะก่อนจะต้องประสบปัญหา
ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรดี …. คำตอบคือว่า ถ้าเราต้องการสินค้าและกำลังจะซื้อโดยได้รับโปรโมชั่นผ่อน 0% ผ่านบัตรเครดิต เราควรจะต้องมีเงินซะก่อนครับ คือควรจะมีเงินสดอย่างน้อย 40-50% ของราคาสินค้านั้นๆ ซึ่งเราต้องมาคำนวณรายรับต่อเดือนของเราอีกขั้นด้วยว่า รายได้หักค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ แล้วเราเหลือเท่าไหร่ ก่อนที่เราจะหยิบยื่นเอาสินค้าตัวนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นเพิ่มขึ้นอีกรายการ เพื่อที่จะดูว่าเราสามารถผ่อนไหวหรือเปล่า และในกรณีที่รายได้ประจำเกิดติดขัดมีรายจ่ายที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น เราจะมีเงินจ่ายสินค้าตัวนั้นมั้ย ซึ่งหากเราตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้ ทางผู้เขียนแนะนำ (อย่าเพิ่งซื้อ) เพราะจำไว้ว่าการผ่อน 0% มันเพียงแค่ยืดอายุการจ่ายเงิน และหากไม่จ่ายทั้งหมดในรอบบิลนั้นก็จะโดนคิดดอกเบี้ยอย่างที่กล่าวมาในขั้นต้น และที่น่ากลัวคือถ้าไม่มีเงินจ่ายทั้งหมดในรอบบิลแรกๆ รอบถัดๆไปจะพอกหนี้เราเป็นดินพอกหางหมูและค่าดอกเบี้ยจะแพงมากๆ
3. ใช้เพื่อร่วมรายการส่วนลดเท่านั้น
วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่น่าสนใจที่สุด และแนะนำให้ใช้ควบคู่กับกลยุทธ์วิธีแรกครับ
จากที่กล่าวขั้นต้นเกี่ยวกับโปรโมชั่นที่ทางร้านค้าร่วมกับธนาคารเจ้าของบัตรจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการตลาด ผู้ใช้บัตรจะได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้เต็มๆ คือนอกจากจ่ายเงินถูกลง ยังคงยืดเวลาชำระเงิน อีกทั้งยังสะสมคะแนนบัตรได้อีก แต่อย่าลืมนะครับ “ให้ใช้คู่กับกลยุทธ์ที่หนึ่งเสมอนะ”
กลยุทธ์ 3 ข้อที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายที่ผมแนะนำนี้ เป็นเพียงกลยุทธ์ที่บุคคลทุกคนทำกันได้ เพียงแค่ขอมีระเบียบวินัยในการใช้วิธีดังกล่าวก็เพียงพอแล้ว
สำหรับหัวข้อหน้าผมจะพูดถึงเรื่องดอกเบี้ยกับการลงทุนอย่างชาญฉลาดครับ รอติดตามกันได้ที่
http://www.challengemetutor.com/
Admin by สุขโข เงินหนู